เกี่ยวกับผม ตอนที่ 1
บทความนี้จะเขียนเกี่ยวกับตัวผมเอง แนะนำตัวให้รู้จักกันมากขึ้นสักเล็กน้อย
จะได้รู้ว่า มันเป็นใครมาจากไหนกันนะ เรียนอะไรมา !
สวัสดีครับ ผมชื่อ EXTRA ก็เป็นชื่อเล่นที่พ่อแม่ตั้งให้ ตอนแรกก็คิดว่าเขาคงตั้งให้เพราะความหมายดีเป็นคนพิเศษ ไปๆมาๆ กลายเป็นว่า ตอนคุณแม่ท้องผม ชอบกิน Nescafe Extra มาก เกิดมาตัวดำเลย (ตกลงมันเกี่ยวไหมนะ) แล้วก็ตั้งแต่เด็กยันโต ก็ไม่ชอบกินกาแฟใดใดทั้งนั้น ทุกวันนี้ยังไม่กินกาแฟเลย ไปร้านกาแฟกับเพื่อนคนอื่นสั่งเอสเพรสโซ่ อเมริกันโน่ แต่ตัวเองก็จะสั่งด้วยความมั่นใจว่า “นมเย็น” แก้วนึง
เอาเป็นว่า พ่อแม่ก็คงเห็นว่าคำว่า Extra ความหมายดีด้วยแหละมั้ง เลยตั้งชื่อเล่นให้ตามนั้น ก็เลยกลายเป็นชื่อที่ใช้มาตั้งแต่เด็กจนโตโดยตลอด ก็ชอบมีคนถามว่าตั้งเองปะเนี้ย ก็พยายามบอกแล้วว่าเปล่า ไม่ได้ตั้งเองโว้ยยย แต่ก็ไม่คิดว่าจะเปลี่ยนเหมือนกัน 555+ ฉะนั้นก็ไม่ต้องแปลกใจว่าทำไมเวปไซต์ชื่อว่า Just Not Ordinary
ที่มาที่ไป
เรื่องที่พยายามบอกหลายๆคนว่าแต่ไม่ค่อยมีคนจะจะเชื่อคือ เป็นคนกรุงเทพฯ ตั้งแต่กำเนิด เกิด และโต เรียนหนังสืออยู่ที่นี่มาโดยตลอด เวลามีเทศกาลสงกรานต์ งานปีใหม่ ที่ชาวบ้านเขา “กลับบ้าน” กัน เราเนี่ยล่ะจะรู้สึกว่าเอ่ออออ ถนนบ้านกรุโล่งสักทีเว้ยเฮ้ยไม่ใช่ขับผ่านแยกอโศกมาสี่แยกคลองเตยหายไป 2 ชั่วโมง จากสีลมมาพระราม 4 หายไปอีก 2 ชั่วโมง มันไม่ใช่นะ เวลาไปต่างจังหวัด หรือ มีเพื่อนต่างจังหวัด แล้วเห็นว่าเขารู้จักกันทั้งหมู่บ้าน หรือ รู้ว่าคนข้างบ้านเป็นใครชื่ออะไรทำอาชีพอะไรพ่อแม่มาจากไหน นี่คือรู้สึกตื่นเต้นตั้งแต่เด็ก เพราะว่าโตมาในกรุงเทพนี่คือการรู้จักคนข้างบ้านนี่ก็เรียกว่าอเมซิ่งมากแล้ว ปกติเข้าบ้านปิดประตูล๊อคกุญแจ ไม่คุยคนแปลกหน้า เห็นหน้ากันมา 10 ปี ยังไม่รู้เลยชื่ออะไรมาจากไหน เอาเป็นว่า คาแรกเตอร์นี่ล่ะ เด็กกรุงเทพแท้ๆ
อนุบาล
สมัยเด็กๆถูกส่งไปเรียนที่ อนุบาลกุ๊กไก่ แถวถนนพระราม 4 [เอ่อ มันมีอยู่จริงๆ ไม่ได้โม้] หัดกินข้าวถามหลุม นั่งเขี่ยผักทิ้งไม่ให้ครูเห็น ฝึกเรียนภาษาอังกฤษ คำศัพท์แรกๆที่จำได้คือคำว่า Buffalo ที่แปลว่า “ควาย” จำไว้ด่ากับเพื่อนแค่นั้น ที่เหลือเรียนไรมาจำอะไรไม่ได้เท่าไร เต้นแด่วๆ ในงานแสดงประจำปี เล่นงานกีฬาสี เอาดินป้ายหน้าเพื่อน ถุงเท้ากลับบ้านดำทุกวัน
จำได้ว่าช่วงนั้นโดยพาไปสอบเข้าประถมหลายที่มากๆ ทุกที่พอออกจากห้องสอบเสร็จก็บอกว่า ทำได้ ติดชัวร์ 100% มั่นใจ ไปสอบเป็นสิบๆที่เลยมั้ง เข้าไปออกมาก็มั่นใจโม้เหมือนเดิม ข้อสอบเป็นไงบ้าง ? โอ้ยหมูๆ กล้วยๆ ติดแน่นอน ผลปรากฎ แป้กแล้วแป้กอีก 555+ ที่สุดท้ายที่ไปสมัครสอบได้ ออกจากห้องสอบมาพูดว่า พอทำได้แหละ ไม่มั่นใจเท่าไร (พูดที่แรกเลย) อ้าวววว ติดเฉยเลย !
ประถม
เลยได้ไปต่อชั้นประถมที่ สาธิต มศว ประสานมิตร (ฝ่ายประถม) ซึ่งแน่นอนว่าเอกลักษณ์ประจำตัว (สมัยนั้น สมัยนี้ไม่รู้เป็นไง) ใครๆก็จะบอกว่าเด็กโรงเรียนนี้มันเถียงเก่งจังเลย ซึ่งมันไม่จริงสักนิด ก็แค่โรงเรียนเขาปล่อยให้เด็กถามครูไม่อั้น ไม่ได้สอนมาให้ฟังเฉยๆเป็นหุ่นยนต์ โตมาเลยอยู่กับคำถามว่า “ทำไม ทำไม ทำไม” ตลอดเวลา พอเจอผู้ใหญ่หัวอนุรักษ์สักหน่อยก็จะบอกว่า เป็นเด็กเป็นเล็ก เถียงเก่งจริงๆ (ก็คิดในใจ แต่ออกเสียงไปบ้างแบบสุภาพๆว่า กรุไม่ได้เถียง กรุแค่ถามโว้ยยยย…ครับ )
ส่วนตอนขึ้นมัธยมก็มีโควต้ามาให้เลือกว่าจะไปไหนระหว่าง สาธิต มศว ประสานมิตร (ฝ่ายมัธยม) กับ สาธิต มศว ปทุมวัน ซึ่งตอนนั้นใครๆก็เอาไปให้พ่อแม่เลือกทั้งนั้น เราก็กลับมาให้พ่อแม่เลือก โดยด่าอีกว่า ไปเลือกเอง ชีวิตมรึง เลือกผิดจะได้กลับมาด่ากุไม่ได้ 555+ อ้าวเฮ้ย ตกลงชีวิตเราต้องเลือกเองหรือนี่ นึกว่าถูกออกแบบไว้แล้วอย่างสวยงาม เนื่องจากตัวเองเป็นเด็กกิจกรรมตัวยง เลยเลือกไปที่ๆไม่เหมาะกับตัวเองซะเลย คือ โรงเรียนที่เขาว่ามีแต่เด็กเรียนเก่งซะยังงั้น
มัธยมต้น
ใช่แล้ว ผมเลือกเรียนต่อมัธยมต้นที่ สาธิต มศว ปทุมวัน เข้าไปเท่านั้นแหละ ตอนเด็กๆ ได้เกรด 4 มาตลอด พอมาปทุมวันแค่นั้นแหละ ได้ติดอับดับที่ 1 -3 ไม่ตกอับดับเลย … อับดับนับจากที่โหล่ท้ายสุดอะนะ ให้ตายเถอะ อะไรมันจะโง่ได้ขนาดนี้วะ สอบตกเป็นว่าเล่น สอบซ่อมแล้วมันยังจะตกได้อีก เรียนก็ตั้งใจเรียน ไม่เห็นเข้าใจอะไรสักอย่างเลย คนอื่นมันรู้เรื่องได้ยังไงวะ ตอนหลังมารู้ว่า อ้าวคนอื่นเขาเรียนพิเศษกันแถวสยามเยอะแยะ มีเราเนี่ยไม่เรียนอะไรเลย โคตรขัดใจ คือ เรียนหนังสือในโรงเรียนแล้ว ยังต้องไปเรียนพิเศษเพิ่มอีกเหรอวะมันถึงจะสอบผ่าน ระบบการศึกษาประเทศทำไมมันช่างห่วยแตกขนาดนี้
ช่วงนั้น วิกฤตหนักเหลือเกิน จะไปเรียนพิเศษดีไหมวะ คุยกับเพื่อนเห็นเพื่อนสนิทๆกันจะไปสมัครสอบย้ายไปเรียนโรงเรียนข้างๆกันหมด เอาไงดี แบกหน้ากลับไปขอตังค์พ่อแม่เรียนพิเศษก็ได้ จะได้ย้ายไปเรียนโรงเรียนข้างๆกับเขาบ้าง ตามเพื่อนๆไป เรียนพิเศษตั้งแต่ 9 โมงเช้า เลิก ตี 2 !!! จะจำไปจนวันตาย ว่าครั้งหนึ่งในชีวิตกรุต้องเรียนหนังสือหนักขนาดนี้ เสาร์อาทิตย์ก็อ่านหนังสือทำข้อสอบอยู่บ้าน ทั้งเครียด ทั้งจะเป็นบ้า ปวดหัวคอตึงไปหาหมอต้องกินยานอนหลับอีก สรุปผ่านเวลาบ้าบอนั่นมาได้เป็นระยะเวลาเกือบๆ 2 ปี ในที่สุดก็สอบติด ย้ายโรงเรียนสำเร็จจนได้
มัธยมปลาย
มัธยมปลาย เลยได้เข้าโรงเรียน เตรียมอุดมศึกษา ได้สมใจอยาก เป็น ต.อ.รุ่น 71 สายวิทย์-บริหาร ตามที่เลือกไว้สมใจ โดยตั้งปณิธานในใจไว้แล้ว จากนี้ไปชีวิตจะไม่มีการเรียนพิเศษใดใดอีกต่อไป ชีวิตนี้จะเรียนๆเล่นๆอย่างมีความสุข กับชีวิตที่จะวางแผนกันด้วยตัวเองไม่ไปดิ้นๆในแนวทางที่สังคมเขาว่ากันว่าดีอีกแล้ว เหนื่อยชิบหายเลยยยย พอเข้าเตรียมมาได้เท่านั้นแหละ สนุกมาก มีแต่คนเก่งๆ ส่วนอาจารย์บางวิชาก็ออกข้อสอบให้ เด็กสอบตกเป็นเรื่องปกติ 90% อีก 10% ที่มันสอบผ่านก็โดนเพื่อนด่าเป็นตัวประหลาด เห็นคนสอบ เต็ม 50 ได้ 45 คะแนน นั่งร้องไห้เป็นวัน มันจะเป็นอะไรกันนักกันหนาวะ เราได้ 26 คะแนนไม่ตก กระโดดดีใจจะตายชัก แต่เอาเถอะเข้าใจแหละว่ารู้สึกยังไง แต่เราผ่านมาแล้ว เราจะไม่กลับไปจุดนั้นอีกแน่นอน 555+
ตอนนั้นวิชาที่อ่อนแอที่สุดคือ ภาษาอังกฤษ ว่าแล้ววิธีแก้ง่ายๆในหัวคือ ได้ งั้นก็ไปหาฝรั่งคุยละกัน เปรี้ยง! ไปเป็น นักเรียนแลกเปลี่ยนที่สหรัฐอเมริกา เฉยเลย 1 ปี ไปอยู่ฟลอริดามา ก็สนุกดีกลับมาภาษาอังกฤษสำเนียงไทยชัดแจ๋ว ฮาว อาร์ ยู แอม ฟาย แต๊งกิ้ว แอนด์ ยู ? จริงๆก็ฟังออก เขียนได้ พูดรู้เรื่องแล้วแหละ แค่สำเนียงไทยสุดๆ เพื่อนที่เมกานี่พูดสำเนียงแบบไทยชัดแจ๋วเลย 555+ พอกลับมาต่อ ม.6 ที่เตรียมอุดมเลย ย้ายสายไปเรียน วิทย์-กบฎ ซะเลย พูดง่ายๆ ก็คือคนเรียนสายวิทย์ 2 ปี แล้วไปอยู่ศิลป์-คำนวณปีสุดท้ายนั่นแหละ ช่วงนี้ก็จะเริ่มเครียดๆขึ้นมาเล็กน้อยเพราะเริ่มอ่านหนังสือเตรียมสอบเข้ามหาลัยกัน
มหาวิทยาลัย
ตอนนั่นก็นั่งถามตัวเองอยู่นะว่าอยากเป็นอะไร อยากไปเรียนเรื่องอะไร ซึ่งตอนนั้นก็คิดยังไม่ออกเป๊ะๆ ว่าอะไรรู้แต่ว่าสนใจเรื่องเงินๆทองๆ ก็ถ้าต้องทำงานหาเงินอยู่แล้ว ก็ไปเรียนเกี่ยวกับเรื่องเงินเลยก็ดีนะ เลยตัดสินใจอยากไปเรียนต่อที่ ฮ่องกง เกี่ยวกับเรื่องการเงิน ก็ตั้งใจอ่านหนังสือ สอบ SAT ให้คะแนนมันถึงเอาไปยื่นได้ ผลปรากฎว่า คะแนนมันก็ถึงเกณฑ์นะแต่ไม่ติด เค้าเอาคนคะแนนสูงกว่า 555+ สรุปสอบไม่ติดจ้าาา เลยเอาคะแนนเดียวกันนี่แหละมายื่นมหาลัยในไทยแทน สรุปสุดท้ายเลยได้มาอยู่ที่ คณะพาณิชยศาสตร์ และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แทน
พอมาอยู่จุฬาฯ ก็เหมือนหนังมันฉายซ้ำ ก็เห็นคนเก่งๆเยอะแยะ แล้วก็คนพึ่งเข้ากรุงเทพ สอบได้คะแนนน้อยบ้าง สอบตกบ้างร้องไห้กันตอนปี 1 ซึ่งเราเนี่ย เข้าห้องเรียนบ้าง ไม่เข้าบ้าง ไม่สนใจเกรดใดใดเลยทั้งสิ้น ก็วิชานี้อาจารย์สอนดี พูดรู้เรื่องก็เข้าเรียน วิชานี้พูดไม่รู้เรื่อง ไม่รู้จะเอาไปใช้ทำอะไรในอนาคตก็โดดไปทำอย่างอื่นแทน เกรดก็เน่าซะเกือบโดนรีไทร์ออกจากมหาลัยซะล่ะ ดีที่ตอนปี 3 เขามีโครงการนักเรียนแลกเปลี่ยนเทอมนึงกับมหาลัยต่างประเทศ แต่ต้องเกรดถึงนะ เลยแบบ อ้าววววววเกือบปั่นเกรดขึ้นไม่ทันเวลา โชคดีรอดพอดิบพอดี เลยได้ไปล้างแค้น ไปแลกเปลี่ยนที่ Lingnan University ที่ฮ่องกง เทอมหนึ่ง นึกว่าจะได้ไปฝึกภาษาจีน ที่ไหนได้ กลับมาภาษาอังกฤษปร๋อเลยให้ตายเถอะ จนท้ายที่สุดก็ทนเรียนจนจบมหาลัยได้ครบ 4 ปีจนได้ แต่ก็ยังหัวขบถไม่ยอมไปรับปริญญา แอบหนีบินไปที่จีนไปหาซื้อของมาขายในไทยมากกว่าซะงั้น ญาติพี่น้องก็เลยงงๆว่า ตกลงมันไปเรียนจุฬาจบมาจริงๆไหมเนี่ย ใบปริญญาก็ไม่มี จะเอาอะไรไปสมัครงานที่ไหนได้
เนื่องจากรู้อยู่แล้วว่าชีวิตนี้ไม่น่าจะเหมาะไปเป็นลูกจ้างใครสักเท่าไรเพราะคงไปสร้างปัญหาในองค์กรเขาซะเปล่าๆ เคยไปฝึกงานที่ไหนก็มีแต่ไปสร้างปัญหา ตั้งคำถามอย่างกับเป็นเจ้าของซะเองตลอด หัวหน้า คนดูแลเดือดร้อนกันเป็นแถวๆ เลยตัดสินใจทำธุรกิจตัวเองเลยเนี่ยล่ะ ให้มันตรงประเด็น ส่วนใบปริญญานั่นก็ฝากเพื่อนไปเอามาให้จากฝ่ายทะเบียนมหาลัยอีกที 555+ ส่วนปริญญาโท ปริญญาเอกนะเหรอ อย่าได้หวัง !
ชีวิตในวัยเรียนของผมก็จบแต่เพียงเท่านี้ บทความหน้า ผมจะมาเล่าเรื่องชีวิตการทำงานซึ่งจริงๆก็มีมาตลอดเวลาที่เรียนหนังสือนั่นแหละ ก็ไว้ติดตามกันอีกทีนะครับ