เกี่ยวกับผม ตอนที่ 2

บทความนี้จะเขียนเกี่ยวกับชีวิตการทำงาน ประสบการณ์เล็กๆน้อยๆ จะได้พอรู้จักกันบ้างว่าทำอะไรบ้างนะ

เอาล่ะ หลังจากที่เมื่อกี้ได้ไปทำแซนวิชทูน่ากินกับโกโก้อิ่มแล้วเช้านี้ ก็ได้เวลามาเขียนบทความเพิ่มที่คนเขียนก็นั่งสัปหงกง่วงสุดๆ เพราะวันนี้อากาศดี ฝนตกแต่เช้า ทุกคนในออฟฟิศมาสายกันหมด จริงๆต่อให้ฝนไม่ตกก็มากันสายอยู่ดีนั่นแหละ เอาเป็นว่ากลับมาที่เรื่องของเราดีกว่า วันนี้ผมคงเขียนบทความแนะนำตัวเพิ่มเติมอีกเล็กน้อย ที่เกี่ยวกับชีวิตการทำงานตั้งแต่เด็กจนถึงปัจจุบันวันนี้คร่าวๆให้พอรู้จักกันอีกหน่อยว่า มันทำอะไรมาบ้างนะ

ร้านโชห่วย-ขายส่ง 

เท่าที่จำความได้ เกิดมาผมก็อยู่ในตึกแถว 2 ห้องที่ชั้นด้านล่างสุดเป็นร้านค้าส่งสินค้าทั่วๆไป ตั้งแต่ ของใช้ในบ้าน อาหารสำเร็จรูป เหล้า เบียร์ บุหรี่ และสารพัดของต่างๆ ส่วนชั้นข้างบนก็กั้นไว้เป็นห้องให้คนอื่นเช้า แล้วชั้นบนสุดเป็นบ้านไว้นอน ร้านก็ตั้งอยู่ในพื้นที่ด้านหน้าของชุมชน 70 ไร่ ที่ชาวบ้านชอบเรียกกันว่าสลัมคลองเตย [กลายเป็นเด็ก”หน้า”สลัมเฉยเลย 555+] ก็ถือว่าเกิดมาในครอบครัวที่ทำมาค้าขายมาตั้งแต่เล็กเลยทีเดียว ทำให้ได้ช่วยจับเงิน นับเงิน เรียงแบงค์หลักแสน หลักล้านตั้งแต่เด็ก แต่ว่าก็โดนสอนมาตลอดว่าเงินพวกนี้ใช้ไม่ได้ เพราะเป็นเงินที่ต้องเอาไปซื้อของมาขาย เราใช้เงินได้แค่กำไรเท่านั้น ผมก็เลยหยิบเงินมากำนึงแล้วถามพ่อแม่ว่า “เงินทั้งปึกเนี้ย ใช้ได้แค่ไหน?” ปรากฎได้คำตอบว่า “ใช้ได้แค่เนี่ย” พร้อมกับเห็น แบงค์อยู่แค่ไม่กี่ใบที่ถูกหยิบออกมาจากทั้งกำมือของเรา ด้วยความที่ไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง (ตอนนั้นพึ่งเข้าประถมได้) เลยต้องพิสูจน์หน่อยว่าของที่ขายเนี่ยมันกำไรแค่เนี่ยจริงเหรอ

รายได้ รายจ่าย กำไร ขาดทุน 

มาม่ากล่องนึงซื้อมาเท่าไร ขายได้เท่าไร แชมพูซองซื้อมาเป็นลัง หนึ่งลังได้กี่แผง แผงนึงมีกี่แถว ต้นทุนแผงละเท่าไร ขายได้แผงละเท่าไร แล้ววันๆนึงมีคนมาซื้อมาม่าอยู่กี่กล่อง มีคนมาซื้อแชมพูซองกี่ลังกัน ตอนนั้นก็นั่งเช็ค นั่งนับลูกค้าในหนึ่งวัน ของที่ขายได้ เงินทั้งหมดที่ได้ในวันนั้น กำไรที่เก็บได้ พอได้ตัวเลขที่รู้แล้ว เย็นนั้นก็ไปกินของโปรดที่ชอบคือ ข้าวไก่อบ S&P ตรงสุขุมวิท 26 กินเสร็จพอจ่ายเงิน เอาใบเสร็จมาดู “อ้าวเฮ้ย แค่ข้าวมื้อนี้มื้อเดียว กำไรหายหมดที่ทำมาทั้งวัน” หลังจากวันนั้นก็กินข้าวกินเปล่าไม่ค่อยจะลง ไปๆมาๆเลยกลายเป็นคนประหยัดในการใช้จ่ายเงินค่าขนมที่ได้แต่ละวัน ได้เงินค่าขนมไปโรงเรียนเก็บเรียบไม่ซื้อไม่กินไม่ใช้อะไรที่ไม่จำเป็น ยกเว้นซื้อหนังสือการ์ตูนที่ชอบ เช่น ยอดนักสืบจิ๋วโคนัน 555+

เด็กขายพวงมาลัย กับ พระ

พอรู้สึกว่าชีวิตทำไมยากจังเลย หาเงินก็ยาก ค่าใช้จ่ายก็แพง ก็เริ่มคิดว่าอยากหาเงินเองบ้าง ทุนก็ไม่มี ค่าขนมก็ได้วันละ 20 บาท ได้มาก็เก็บหมดใส่กระปุก นั่งรถไปโรงเรียนพอดีเห็นเด็กขายพวงมาลัยตาม 4 แยก วิ่งไปมาเคาะกระจกรถขายมาลัยพวงล่ะ 10 บาท ขายได้ 2 อันก็ได้เท่าค่าขนมเราแล้วนี่หว่า คิดได้แบบนั้นแล้วกลับบ้านจากโรงเรียนรีบไปบอกพ่อแม่ว่า “ป๊าม๊า EXTRA อยากเป็นเด็กขายพวงมาลัย” เท่านั้นแหละโดนเละเลยว่า ส่งไปเรียนหนังสือให้เก่งๆหางานสบายๆทำ ไม่ต้องลำบากเหมือนพ่อแม่ ถ้าอยากทำงานลำบากๆก็ออกมาทำงานเลย เดี๋ยวพ่อแม่ไปเรียนหนังสือแทน ตอนนั้นโคตรจ๋อย

แต่ไม่เป็นไรความพยายามอยู่ที่ไหน ความพยายามก็อยู่ที่เดิม ไปโรงเรียนอีกวันตอนเช้าเห็นพระเดินออกมาบิณฑบาต กับเด็กวัดเดินตามถือของให้ เกิดความเลื่อมใสศรัทธา และแรงบันดาลใจ กลับบ้านมารีบบอกพ่อแม่ “ป๊าม๊า EXTRA อยากเป็นพระ ข้าวก็ขอคนอื่นกินฟรี ลูกน้องก็มีคอยถือของให้ เงินได้ด้วยถ้าโชคดี บ้านก็ฟรี ดีสุดๆ” หลังจากนั้น ก็จำอะไรไม่ได้เลยรู้แต่ว่าโดนหนักกว่าจะเป็นเด็กขายพวงมาลัยอีก ชีวิตที่อยากหาเงินเองได้ทำไมมันยากยังงี้

สงกรานต์ กับ ธุรกิจแรกในชีวิต 

หลังจากนั้นก็คิดมาตั้งแต่เด็กว่า เราต้องหาเงินเป็นของตัวเองให้ได้ เนื่องจากบ้านของคุณยายอยู่ใกล้วัด และท่าเรือมีคนเดินผ่านไปมาค่อนข้างเยอะ ที่บ้านคุณยายเลยขายข้าวร้านแกงเป็นประจำ ตอนนั้นใกล้ช่วงสงกรานต์แล้วเลยเอาเงินเก็บไปซื้อปืนฉีดน้ำมาขาย ขั้นตอนคือให้คุณน้าพาไปสัมเพ้ง (ยังอยู่ชั้นประถมตอนนั้น) ไปเลือกซื้อปืนฉีดน้ำ เอากลับมาวางขายหน้าบ้านคุณยาย

ซึ่งนับเป็นธุรกิจที่น่าตื่นเต้น เพราะว่าเราไปซื้อของมา สุดสัปดาห์ก็มาเก็บเงิน และได้กำไรทันที เพราะว่าค่าสถานที่ก็ไม่จ่าย นั่งขายเองก็ไม่ใช่ (ฝากที่บ้านยายขาย) ต้นทุนอย่างเดียวที่มีคือค่าของ แล้วก็บวกกำไรเห็นๆ ทำได้มาปีสองปีเริ่มโดนสอนว่าไม่ถูกนะ ค่าที่ก็ควรต้องจ่าย ค่าคนขายก็ต้องมี ต้องแบ่งคนอื่นที่ทำงานด้วยถึงจะถูก ไม่ใช่เอาไปคนเดียวหมด แต่พอเป็นเด็กตอนนั้นคิดแล้วหักลบทุกอย่าง เหลือกำไรนิดเดียวเหมือนไม่เหลือเลย ต้องแบ่งอีกเหรอ ไม่ไหว ก็เลยเลิกขายซะตอนนั้นเลย เอาจริงๆพอคิดกลับไปแล้วก็ไม่ไหวเลย เอาแต่ได้อย่างเดียวเลย ฮ่าๆ สุดท้ายได้เงินมาก็เอาไปกินขนมหมด 

ธุรกิจ DROPSHIP

หลังจากนั้นก็พยายามหาเงินด้วยตัวเองมาเรื่อยๆ ได้บ้างเหลวบ้าง มาตลอดจนกระทั่งได้ทำอะไรที่พอจะได้เงินมากพอจะกล้าเรียกเป็นธุรกิจกับเขาบ้างก็คือการ ขายของออนไลน์ ช่วงนั้นการขายของออนไลน์ยังไม่ได้แข่งขันกันเลือดสาดแบบทุกวันนี้ การโฆษณาออนไลน์ก็ไม่ใช่ทุกคนจะทำเป็นหมด ไม่มีของแค่เดินไปหาร้านขายส่ง โพสรูปใน Marketplace เฉยๆ ยังขายได้ แล้วค่อยมาซื้ออีกที

ตอนนั้นก็ทำแบบเดียวกันนี่ล่ะ แต่ขายที่ Amazon ซึ่งเป็นเวปขายของออนไลน์ต่างประเทศที่ค่อนใหญ่เลย มีลูกค้าส่วนใหญ่ในสหรัฐอเมริกา แล้วก็ทั่วโลก ตอนนั้นเราก็เข้าไปเอาภาพจากเวปขายของในจีนมาโพสขายต่อเนี่ยล่ะทั้งพวก Alibaba Aliexpress ตอนแรกๆก็แค่ก๊อปภาพมาโพสต่อแล้วก็ขาย พอมีออเดอร์ก็ส่งไปบอกให้ Supplier ช่วยส่งไปให้ด้วย เราก็กินกำไรเองเฉยๆจากราคาที่เราตั้งไว้เอง ไปๆมาๆหลังเริ่มแบบคุยแชทกับ Supplier คุยกับโรงงานขอดีลราคาพิเศษ ขอจำกัดรุ่นสินค้าบางอันให้เฉพาะเราขายบ้าง ทำมาได้ประมาณปีกว่าๆสุดท้ายบัญชีผู้ขายก็โดนปิด เพราะมีปัญหาเรื่องการส่งของล่าช้า เนื่องจากเราควบคุมคุณภาพเองไม่ได้ ตอนนั้นเล่นเอามึนไปหลายวันเลยทีเดียว เพราะพึ่งเรียนจบมาใหม่ๆ นึกว่าจะเอามาทำเป็นอาชีพหลักอยู่แล้วเชียวนะ

จุดเริ่มต้น บริษัทจำกัด

โชคดีที่ก่อนจะโดนปิดบัญชีผู้ขาย Amazon ได้ตัดสินใจเปิดบริษัทแรกในชีวิต เพราะอยากทำธุรกิจซื้อมาขายไปให้มันน่าเชื่อถือ ก็ทำตั้งแต่ซื้อของจากต่างประเทศเข้ามาขายในไทย ซื้อของจากในไทยไปขายต่างประเทศ ซื้อขายสินค้าผ่านการประมูล พอเปิดบริษัทแรกเสร็จแล้ว ก็ต้องทำ Marketing พอหา Agency เองไม่ถูกใจต้องจ้าง In-House ก็เลยเปิด Agency เอง พอทำเรื่องขอคืนภาษี ต้องยุ่งกับสรรพากรเยอะ สำนักงานบัญชีก็ช่วยได้ไม่เยอะ เปิดของตัวเองอีก ก็เป็นแบบนี้ประจำ

ไปๆมาๆหนักเข้า ทุกวันนี้เลยอยากทำธุรกิจอะไรเพิ่มก็เปิดบริษัททำเอาเลยซะหลายบริษัทเลย เลยว่าจะเขียนบันทึกความรู้เกี่ยวกับธุรกิจต่างๆที่ทำไว้ในเวปนี้เป็นบทความในหัวข้อต่างๆที่อยากจะเขียน จะได้กลับมาอ่านได้ เผื่อแก่ไปแล้วจะหลงๆลืมๆ 55+